“สุขสันต์วันเกิด เฮย์มิตช์!”
ข้อดีอย่างหนึ่งของคนที่มีวันเกิดตรงกับวันเก็บเกี่ยวคือ คุณเข้านอนดึกได้ เพราะวันหลังจากนั้นก็จะแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว แม้โรงเรียนหยุดหนึ่งวันก็ไม่ได้ช่วยชดเชยความหวาดกลัว แม้คุณจะรอดไปอีกปีและชื่อไม่ถูกจับ ไม่มีใครจะมีอารมณ์กินเค้กอีกแล้วหลังเห็นเด็กสองคนถูกต้อนไปเชือดที่แคปิตอล ผมพลิกตัวพลางดึงผ้าที่คลุมหัว
“สุขสันต์วันเกิด!” ซิด น้องชายวัย 10 ขวบ เขย่าไหล่ผม “พี่บอกว่าให้ทำเสียงไก่ขันปลุก พี่บอกว่าพี่อยากเข้าป่าแต่เช้าตรู่”
น้องพูดถูกนะ ผมตั้งใจจะทำงานให้เสร็จก่อนพิธีเก็บเกี่ยวจะเริ่มต้น จะได้อุทิศช่วงบ่ายให้กับสองอย่างที่รักมากที่สุด หนึ่ง คือการปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ และสอง คลุกอยู่กับแฟนของผม เลนอร์ เดิฟ ซึ่งแม่ของผมจะไม่รบกวนกิจกรรมพวกนี้ แม่ชอบพูดว่าไม่มีงานไหนที่ยาก สกปรก หรือ ท้าทายเกินกำลังของผม และแม้แต่คนที่ยากจนข้นแค้นที่สุดก็ยอมควักเหรียญเพนนีจ้างคนให้ปลดเปลื้องความทุกข์ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิเศษสองเท่า ผมคิดว่าน่าพอหละหลวมได้ และอิสรภาพเล็กๆ น้อยๆ แม่คงไม่ถือสาว่าอะไร หากผมทำงานเสร็จ จะมีก็แต่พวกนักออกแบบเกมเท่านั้นแหละที่อาจจะทำให้แผนวันนี้เปลี่ยนได้
“เฮย์มิตช์” ซิดทำเสียงโหยหวน “พระอาทิตย์กำลังขึ้นแล้ว”
“ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว พี่ลุกแล้ว” ผมกลิ้งตัวออกจากที่นอนตกลงพื้น คว้ากางเกงที่ทำจากถุงแป้งข้าวสาลีจากรัฐบาลทำให้ก้นของผมมีคำว่า “อภินันทนาการจากแคปิตอล” ประทับตราไว้ แม่ผมไม่ชอบทิ้งขว้างข้าวของที่ยังใช้ได้ดีอยู่ เป็นหญิงม่ายแต่สาวตอนที่พ่อผมตายในระเบิดเหมืองถ่านหิน แม่เลี้ยงซิดกับผมคนเดียวโดยรับจ้างซักผ้า ใช้อุปกรณ์ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขี้เถ้าจากไม้ฮาร์ดวู้ดในกองไฟใช้เป็นสบู่ เปลือกไข่บดละเอียดใช้เป็นปุ๋ยหมักในสวน วันหนึ่งในอนาคตกางเกงขาสั้นตัวนี้จะหลุดหลุ่ยแล้วแม่ก็จะทอใหม่เป็นพรมปูบนพื้น
ผมแต่งตัวเสร็จแล้วก็โยนซิดกลับไปบนเตียง ซิดมุดกลับเข้าไปใต้ผ้าห่มควิลท์ ผมเข้าไปหยิบขนมปังข้าวโพดในครัว ของพิเศษที่แม่ทำในวันเกิดของผม ปกติจะจะอบแต่ขนมปังดำๆ จากแป้งเก่าแคปิตอล แม่อยู่หลังบ้าน กำลังใช้ไม้คนกะละมังซักผ้า กล้ามเนื้อแขนแข็งเกร็งระว่างที่พลิกชุดเอี้ยมหมีของคนงานเหมือง แม่อายุแค่ 35 ปี แต่ร่องรอยความเศร้าโศกฝากรอยย่นบนใบหน้าเรียบร้อยแล้ว
แม่เห็นผมที่ประตูและปาดเหงื่อบนคิ้ว “สุขสันต์วัน 16 ปี มีซอสอยู่บนเตา”
“ขอบคุณฮะ แม่” ผมเจอซอสลูกพลัมอยู่บนกระทะ และตักขึ้นมาใส่ขนมปังก่อนจะออกจากบ้านไป ผมเจอลูกพลัมพวกนี้ในป่าเมื่อวันก่อน ดีที่เห็นแม่ทำให้ร้อนและใส่ความหวานมากขึ้น
“วันนี้แม่อยากให้ช่วยเติมถังเก็บน้ำให้เต็ม” แม่บอกตอนผมเดินผ่านไป
พวกเรามีแค่น้ำเย็นที่ไหลผ่านลำธารเล็กที่ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเติมถังน้ำเต็ม มีถังรองน้ำฝนที่แม่จะคิดเงินเพิ่มเพราะว่าจะได้ผ้าที่นุ่มขึ้น แต่แม่ก็ใช้น้ำบาดาลซักผ้าเป็นส่วนมาก กว่าผมกับซิดจะเติมน้ำในถังให้เต็มก็ต้องใช้เวลาตั้งสองชั่วโมง
“รอพรุ่งนี้ไม่ได้หรอแม่” ผมถาม
“น้ำแม่ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวต้องซักผ้ากองพะเนินนี้อีก” แม่ตอบ
“งั้นค่อยทำตอนบ่ายนะ” ผมบอก พยายามจะซ่อนความหงุดหงิดไว้ ถ้าพิธีเก็บเกี่ยวเสร็จตอนบ่ายโมง และผมไม่ใช่คนที่ต้องเสียสละในปีนี้ ผมก็ยังสามารถเติมถังน้ำให้ทันบ่ายสาม แล้วยังมีเวลาไปหาเลนอร์ เดิฟ
ม่านหมอกบางๆ ปกป้องรอบๆ บ้านสีเทาควันในเดอะซีม เกือบจะสบายใจแล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงเด็กๆ ร้องไห้ตอนนอนเพราะถูกวิ่งไล่จับในความฝัน ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ยามเกมล่าชีวิตครั้งที่ 50 ใกล้เข้ามาขึ้นทุกที เสียงร้องระงมร่ำไห้ก็ดังถี่ขึ้น เหมือนกับความวิตกกังวลที่ผมพยายามจะไม่ให้มีมากเกินไป ควอเตอร์เควลครั้งที่ 2 เด็กเพิ่มขึ้น 2 เท่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลอะไร ผมบอกตัวเอง ไม่มีทางที่จะแก้ไขหรือห้ามอะไรได้ ก็แค่เหมือนเกมล่าชีวิตสองครั้งในหนึ่งปี ไม่มีวิธีที่เราจะควบคุมผลลัพธ์ของการเก็บเกี่ยวและสิ่งที่จะตามมาได้เลย ดังนั้นอย่าสุมฝันร้าย อย่าอนุญาตให้ตัวเองประสาทแดก อย่าให้แคปิตอลเห็นสิ่งนี้ พวกมันได้ทุกอย่างมากเกินพอแล้ว
ตัวอย่างบทที่ 1 Sunrise on the Reaping
สำนวนแปลโดย PerrysJourney
ต้นฉบับเผยแพร่ทาง https://people.com/new-hunger-games-book-excerpt-sunshine-on-the-reaping-exclusive-8774209
Text from Sunrise on the Reaping © 2025 Suzanne Collins. Provided by Scholastic.