Scan here!
Embedded QR Code

ตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ คุณลักษณะที่สำคัญ คือ ราคาพาร์ (Par) และ อัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) บอกอะไรเราในฐานะเป็นบริษัทผู้ออกตราสาร

ราคาพาร์ และอัตราดอกเบี้ย เป็นตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดเงื่อนไขการออกหุ้นของบริษัทและมีผลต่อต้นทุนการระดมทุนรวมถึงการตอบสนองของนักลงทุนในตลาดด้วย
ราคาพาร์และอัตราดอกเบี้ย ของหุ้นกู้บ่งบอกภาระผูกพันของบริษัทผู้ออกในการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้น โดย ราคาพาร์ คือจำนวนเงินต้นที่บริษัทจะคืนให้ผู้ลงทุนเมื่อครบกำหนดอายุ และ อัตราดอกเบี้ย คืออัตราที่บริษัทต้องจ่ายให้กับผู้ลงทุนตลอดอายุของตราสาร ซึ่งมูลค่าเหล่านี้สะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่บริษัทต้องแบกรับ
เป็นองค์ประกอบสำคัญที่กำหนดผลตอบแทนของนักลงทุน
ตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ คุณลักษณะที่สำคัญ คือ ราคาพาร์ (Par) และ อัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) บอกอะไรเราในฐานะเป็นบริษัทผู้ออกตราสาร คือ ราคาพาร์ บอก “บริษัทกู้เงินเท่าไร และต้องคืนเท่าไร” อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) บอก “บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าไรต่อปี” ทั้งสองอย่างสะท้อน “ภาระหนี้และต้นทุนทางการเงิน” ของบริษัทผู้ออกตราสารโดยตรง
1.ภาระหนี้สิน และ2. ต้นทุนทางการเงิน ของบริษัท โดยราคาพาร์ มูลค่าเงินต้นที่บริษัทจะคืนให้ผู้ถือหุ้นกู้เมื่อครบกำหนด ซึ่งบริษัทต้องมีเงินเพียงพอที่จะชำระคืน ส่วนอัตราดอกเบี้ยคือ ต้นทุนดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายให้ผู้ถือหุ้นกู้เป็นประจำ ซึ่งส่งผลต่อการคำนวณกระแสเงินสดและการบริหารทางการเงินของบริษัท
ราคาพาร์ (Par Value) บอกว่า บริษัทกู้เงินมาหน่วยละเท่าไร และ ต้องคืนเท่าไรเมื่อครบกำหนด อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) บอกว่า บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนปีละเท่าไร หรือ ต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัท
1. ราคาพาร์ (Par Value หรือ มูลค่าที่ตราไว้) ​ราคาพาร์ คือ มูลค่าเงินต้นที่บริษัทผู้ออกจะต้องชำระคืนแก่ผู้ลงทุนเมื่อตราสารหนี้นั้นครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity Date) โดยทั่วไปราคาพาร์ของหุ้นกู้ในประเทศไทยมักกำหนดไว้ที่ 1,000 บาทต่อหน่วย หรือ 100 บาทต่อหน่วย ​บอกอะไรกับบริษัทผู้ออก: ​ภาระหนี้สินคงค้าง (Principal Obligation): ราคาพาร์กำหนดจำนวนเงินต้นรวมที่บริษัทจะต้องเตรียมไว้เพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ทั้งหมดเมื่อครบกำหนดอายุ ​ตัวอย่าง: หากบริษัทออกหุ้นกู้ 1 ล้านหน่วย ที่ราคาพาร์ 1,000 บาท บริษัทจะมีภาระหนี้เงินต้นรวม 1,000 \times 1,000,000 = 1,000 ล้านบาทที่ต้องชำระคืน ​การคำนวณดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) จะถูกนำมาคำนวณจากราคาพาร์นี้ เพื่อกำหนดจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละงวด ​2. อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) ​อัตราดอกเบี้ย คือ อัตราผลตอบแทนต่อปีที่บริษัทผู้ออกตกลงจะจ่ายให้แก่ผู้ลงทุน โดยจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาพาร์ มักจ่ายเป็นงวด ๆ เช่น ปีละ 2 ครั้ง ​บอกอะไรกับบริษัทผู้ออก: ​ต้นทุนทางการเงิน (Cost of Funding): อัตราดอกเบี้ยคือ ต้นทุนที่บริษัทต้องจ่าย เพื่อระดมเงินทุนผ่านการออกตราสารหนี้ ยิ่งอัตราดอกเบี้ยสูง ต้นทุนทางการเงินของบริษัทก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ​การประเมินความเสี่ยงของบริษัท (Credit Risk Reflection): ​อัตราดอกเบี้ยสูง: มักบ่งชี้ว่าบริษัทมีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) สูงกว่า หรืออันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ต่ำกว่าบริษัทอื่น ซึ่งทำให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ​อัตราดอกเบี้ยต่ำ: มักบ่งชี้ว่าบริษัทมีความเสี่ยงต่ำและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง ทำให้สามารถระดมทุนได้ในต้นทุนที่ต่ำ ​ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness): อัตราดอกเบี้ยที่เสนอจะต้องแข่งขันได้กับอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อื่น ๆ ในตลาดและสอดคล้องกับสภาวะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนให้เพียงพอต่อความต้องการระดมทุนของบริษัท ​กล่าวโดยสรุปคือ ราคาพาร์ บอกถึง จำนวนเงินต้น ที่บริษัทเป็นหนี้ และ อัตราดอกเบี้ย บอกถึง ต้นทุนทางการเงิน หรือดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายตามระยะเวลาของตราสารหนี้
ราคาพาร์ (Par)คือ “เงินต้นที่ต้องคืน” เมื่อครบกำหนดอัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) คือ “ต้นทุนดอกเบี้ย”ที่ต้องจ่ายในแต่ละงวด สองสิ่งนี้รวมกันบอก“ภาระเงินสด”ในอนาคตที่บริษัทต้องเตรียมจ่ายให้กับนักลงทุน
ราคาพาร์บอกถึง เงินต้น ที่ต้องคืน ส่วนอัตราดอกเบี้ยบอกถึง ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายเป็นงวด ๆ ซึ่งทั้งสองส่วนเป็นองค์ประกอบหลักที่บริษัทผู้ออกต้องพิจารณาและวางแผนด้านการเงินตลอดอายุของตราสารหนี้นั้น อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดสะท้อนถึงการตัดสินใจของบริษัทในการเลือกวิธีการระดมทุน (ออกหุ้นกู้) เมื่อเทียบกับการกู้ยืมจากธนาคารหรือแหล่งเงินทุนอื่น โดยบริษัทจะเลือกอัตราที่เหมาะสมที่สุดเพื่อดึงดูดนักลงทุนภายใต้ความเสี่ยงของตนเอง
สำหรับบริษัทผู้ออก"ราคาพาร์" คือ ตัวตั้ง ของหนี้ และ "อัตราดอกเบี้ย" คือ ต้นทุน ของการมีหนี้นั้น การทำความเข้าใจสอง ค่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการหนี้ วางแผนกระแสเงินสด และออกตราสารได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
เสี่ยงที่ต่ำใกล้เคียงกัน: ปัจจุบัน การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์กับธนาคารให้ดอกเบี้ยน้อยกว่าพันธบัตรออมทรัพย์ที่ถือว่าปราศจากความเสี่ยงในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้และหากผู้ลงทุนสามารถยอมรับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้นได้ ก็สามารถที่จะเลือกลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งได้ซึ่งจะเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ขึ้นไปอีก
คุณลักษณะสำคัญของตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ คือ ราคาพาร์ (Par Value) และ อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) บอกข้อมูลสำคัญหลายอย่างแก่ บริษัทผู้ออกตราสาร ในฐานะผู้กู้ยืม ดังนี้: 1. ราคาพาร์ (Par Value / Face Value) ราคาพาร์ คือ มูลค่าเงินต้น ที่บริษัทผู้ออกต้อง ชำระคืน แก่ผู้ถือตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity Date) • ภาระเงินต้นที่ต้องชำระคืน: บริษัทรู้ถึงจำนวนเงินต้นที่ต้องเตรียมไว้เพื่อไถ่ถอนหนี้เมื่อครบกำหนดอายุ • มูลค่าเงินที่ระดมได้: ราคาพาร์ต่อหน่วยคูณด้วยจำนวนหน่วยที่ออกจำหน่าย จะได้เป็น จำนวนเงินทั้งหมดที่บริษัทระดมทุนได้ จากการออกตราสารหนี้นี้ (ในกรณีที่ขายได้ในราคาพาร์) • พื้นฐานในการคำนวณดอกเบี้ย: เป็นมูลค่าที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในแต่ละงวด 2. อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) อัตราดอกเบี้ย คือ อัตราดอกเบี้ยต่อปี ที่บริษัทผู้ออกสัญญาจะจ่ายให้กับผู้ถือตราสารหนี้ โดยคิดจากราคาพาร์ตลอดอายุของตราสารหนี้ • ต้นทุนทางการเงิน (Cost of Debt): อัตราดอกเบี้ยนี้บ่งบอกถึง ภาระดอกเบี้ย หรือ ต้นทุนการกู้ยืม ที่บริษัทต้องจ่ายเป็นงวด ๆ ตลอดอายุของตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระแสเงินสดและงบกำไรขาดทุนของบริษัท • สูตรการคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่อปี: • \text{จำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่อปี} = \text{ราคาพาร์} \times \text{อัตราดอกเบี้ย} • การกำหนดราคาในการระดมทุน: การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ • บริษัทต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ ดึงดูดใจ ผู้ลงทุน โดยคำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดปัจจุบัน (Market Rate) และความน่าเชื่อถือของบริษัท (Credit Rating) • ถ้าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด ผู้ลงทุนอาจจะไม่สนใจซื้อ (ส่งผลให้ราคาซื้อขายในตลาดลดลง) • ถ้าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอสูงเกินไป บริษัทจะมีต้นทุนการกู้ยืมที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยสรุปแล้ว ราคาพาร์บอกถึง เงินต้น ที่บริษัทต้องคืน ส่วนอัตราดอกเบี้ยบอกถึง ต้นทุน ที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อใช้เงินก้อนนั้นตลอดระยะเวลาที่กู้ยืม
ราคาพาร์ (Par Value) คือ มูลค่าที่บริษัทต้องคืนให้นักลงทุนเมื่อครบกำหนด และใช้เป็นฐานคำนวณดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) คือ อัตราผลตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายให้นักลงทุน เป็นต้นทุนทางการเงินของบริษัท ดังนั้น สำหรับบริษัทผู้ออกตราสาร ราคาพาร์บอก จำนวนหนี้ที่ต้องชำระคืน ส่วนอัตราดอกเบี้ยบอก ต้นทุนที่ต้องจ่ายระหว่างทาง ในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้
ราคาพาร์ (Par Value) และ อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate)
Par: -ภาระหนี้เงินต้น -แหล่งเงินทุนที่ต้องการ Coupon rate -ต้นทุนทางการเงิน -กระแสเงินสดจ่ายออก -ความน่าสนใจในการระดมทุน
1. ราคาพาร์ (Par Value): ราคาพาร์คือ มูลค่าที่ตราไว้ ของตราสารหนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเงินต้นที่บริษัทจะต้องชำระคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้เมื่อตราสารหนี้ ราคาพาร์นี้เป็นตัวกำหนด จำนวนเงินต้นที่บริษัทกู้ยืมมา โดยทั่วไปมักตั้งไว้ที่ 1,000 บาท, 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือหน่วยเงินอื่นๆ ตามสกุลเงินที่ออกตราสาร 2. อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate): อัตราดอกเบี้ยคือ เปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ย ที่บริษัทต้องจ่ายให้ผู้ถือหุ้นกู้ จากราคาพาร์ เป็นประจำทุกปี (มักจ่ายปีละ 2 ครั้ง) ตลอดอายุของตราสารหนี้ อัตรานี้จึงบอกถึง ต้นทุนทางการเงิน ที่บริษัทต้องแบกรับจากการกู้ยืมเงินผ่านการออกหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยที่ตั้งไว้สะท้อน ระดับความน่าเชื่อถือ (ความเสี่ยง) ของบริษัทในตลาด บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูง (ความเสี่ยงต่ำ) มักจะออกหุ้นกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ในขณะที่บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงกว่าอาจต้องเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน
ราคาพาร์ บอกถึง จำนวนเงินต้น ที่ต้องคืน อัตราดอกเบี้ย บอกถึง ต้นทุนในการกู้ยืม และ ระดับความเสี่ยง ของบริษัทผู้ออกตราสาร
ราคาพาร์ คือ มูลค่าที่บริษัทต้องคืนให้ผู้ถือเมื่อครบกำหนด อัตราดอกเบี้ย คือ ดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้ผู้ถือเป็นระยะ
“ต้นทุนของการระดมทุน” เพราะบริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยตามอัตรานี้จนกว่าจะครบกำหนดชำระ
ต้นทุนการกู้ยืม บอกอัตรากำไร การเติบโต
ความน่าเชื่อถือและความต้องการของตลาด
ราคาพาร์ (Par Value) และอัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) ของ ตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ เป็นคุณลักษณะที่สำคัญมาก โดยในฐานะ “บริษัทผู้ออกตราสาร” ทั้งสองสิ่งนี้บอกข้อมูลสำคัญดังนี้ 👇 🧾 1. ราคาพาร์ (Par Value) — มูลค่าที่ตราไว้ ความหมาย: คือ “มูลค่าที่ตราไว้ของตราสาร” ณ วันที่ออก เช่น หุ้นกู้ราคาพาร์ 1,000 บาท หมายความว่าผู้ถือหุ้นกู้ 1 หน่วยจะได้รับคืน 1,000 บาทเมื่อครบกำหนด ในมุมบริษัทผู้ออก: ราคาพาร์เป็น “ฐานในการคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย” ใช้กำหนดจำนวนเงินที่บริษัทจะได้รับจากนักลงทุนในวันออกตราสาร เป็นตัวเลขอ้างอิงเมื่อบริษัทต้อง “ชำระคืนเงินต้น” ให้ผู้ลงทุนเมื่อครบอายุ 🧮 ตัวอย่าง: บริษัทออกหุ้นกู้ราคาพาร์ 1,000 บาท จำนวน 10,000 หน่วย → บริษัทจะได้รับเงินระดมทุน 10,000 x 1,000 = 10,000,000 บาท 💰 2. อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) — ผลตอบแทนที่ต้องจ่าย ความหมาย: คือ “อัตราผลตอบแทนประจำปีที่บริษัทตกลงจ่ายให้ผู้ถือหุ้นกู้” โดยคิดจากราคาพาร์ ในมุมบริษัทผู้ออก: เป็น “ต้นทุนทางการเงิน” ของการระดมทุน ยิ่งอัตราดอกเบี้ยสูง ต้นทุนของบริษัทก็ยิ่งสูง ต้องพิจารณาให้อยู่ในระดับที่ “ดึงดูดนักลงทุน” แต่ “ไม่กระทบสภาพคล่อง” ของบริษัท 🧮 ตัวอย่าง: หุ้นกู้ราคาพาร์ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี → บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ย 40 บาทต่อปีต่อหุ้นกู้ 1 หน่วย → ถ้าออก 10,000 หน่วย = ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 400,000 บาท
บอกถึง ต้นทุนในการกู้ยืม การประเมินความเสี่ยงในรูปแบบของตราสารหนี้
บริษัทมีเครดิตหรือความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง 2. ดอกเบี้ยสะท้อนอัตราดอกเบี้ยตลาด ณ เวลานั้น 3. ไม่มีส่วนลดหรือเบี้ยประกันราคา
ความหมายของราคาพาร์และอัตราดอกเบี้ยในฐานะบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ เมื่อบริษัทต้องการระดมทุนจากนักลงทุน บริษัทสามารถออก “ตราสารหนี้” หรือ “หุ้นกู้” เพื่อกู้เงินจากประชาชนได้ โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่บริษัทต้องกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น คือ ราคาพาร์ (Par Value) และ อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สะท้อนภาระทางการเงินของบริษัทโดยตรง ราคาพาร์ (Par Value) คือมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นกู้แต่ละหน่วย เช่น 1,000 บาท หมายความว่า เมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ บริษัทจะต้องคืนเงินต้นจำนวนนี้ให้แก่นักลงทุน ราคาพาร์จึงเป็นตัวกำหนด “จำนวนเงินที่บริษัทต้องชำระคืน” และเป็นฐานในการคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตลอดอายุของหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) คืออัตราผลตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายให้นักลงทุนตามมูลค่าพาร์ของหุ้นกู้ เช่น หากหุ้นกู้มีมูลค่าพาร์ 1,000 บาท และอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ย 50 บาทต่อปีให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยนี้จึงเป็น “ต้นทุนทางการเงิน” ของบริษัทในการกู้ยืมเงินผ่านตลาดทุน กล่าวโดยสรุป ราคาพาร์ บ่งบอก “จำนวนเงินต้น” ที่บริษัทต้องชำระคืนในอนาคต อัตราดอกเบี้ย แสดง “ภาระดอกเบี้ย” ที่ต้องจ่ายให้กับนักลงทุนตามระยะเวลา ทั้งสองปัจจัยนี้มีผลโดยตรงต่อการวางแผนทางการเงินของบริษัท เพราะจะกำหนดได้ว่าบริษัทมีภาระต้นทุนการกู้ยืมเท่าใด และต้องเตรียมสภาพคล่องไว้ชำระคืนเท่าไรเมื่อถึงกำหนดเวลา
อัตราดอกเบี้ย
ราคาพาร์: แสดงถึง ภาระหนี้เงินต้น ที่ต้องชำระคืนเมื่อครบกำหนด. อัตราดอกเบี้ย: แสดงถึง ภาระต้นทุนดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายตลอดอายุของตราสาร ซึ่งส่งผลต่อกระแสเงินสดที่ต้องจ่ายออกไปอย่างสม่ำเสมอ.
ภาระหนี้ที่แท้จริงของบริษัท และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจด้านโครงสร้างเงินทุน
สำหรับบริษัทผู้ออกตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ ราคาพาร์ (Par Value) หมายถึงมูลค่าที่ตราไว้ซึ่งเป็นจำนวนเงินต้นที่ต้องชำระคืนให้ผู้ลงทุนเมื่อครบกำหนด และใช้เป็นฐานในการคำนวณดอกเบี้ย ส่วน อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) คืออัตราผลตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายให้นักลงทุนตามรอบเวลา ซึ่งถือเป็นต้นทุนทางการเงินของบริษัทและเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดผู้ลงทุนในการระดมทุนผ่านหุ้นกู้
1. “ราคา” ของตราสารหนี้ ราคาที่บริษัทขายหุ้นกู้ (เช่น ราคาที่ตราไว้ 1,000 บาทต่อหน่วย) → คือ จำนวนเงินที่บริษัทจะได้รับจริง จากนักลงทุนในการระดมทุน ถ้าขายได้ในราคาพาร์ (1,000 บาท) หมายถึง นักลงทุนเชื่อมั่นในบริษัท แต่ถ้าต้องขาย “ต่ำกว่าพาร์” (เช่น 980 บาท) เพื่อดึงดูดนักลงทุน → แสดงว่า นักลงทุนมองว่าความเสี่ยงสูงขึ้น หรือ ผลตอบแทนยังไม่จูงใจพอ 📍ในมุมบริษัท: ราคาที่ขายได้สะท้อนว่า บริษัทสามารถระดมทุนได้ในต้นทุนต่ำหรือสูง (ยิ่งราคาขายต่ำกว่าพาร์มาก → ต้นทุนเงินทุนยิ่งสูงขึ้น)
ในฐานะบริษัทผู้ออกตราสาร • เป็นต้นทุนทางการเงินของบริษัท (Cost of Debt) • สะท้อนความน่าเชื่อถือของบริษัท → ยิ่งเสี่ยงสูง ดอกเบี้ยต้องยิ่งสูง • ใช้ประกอบการ คำนวณภาระจ่ายดอกเบี้ยรายงวด (Interest Expense) • มีผลต่อ ความสามารถในการระดมทุนและต้นทุนทางการเงินรวมของบริษัท
Coupon Rate คือ ต้นทุนดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่าย และเป็นสิ่งที่กำหนดกระแสเงินสดจ่ายออกของบริษัทในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้
• ราคาพาร์ (Par Value) 👉 คือ “มูลค่าที่บริษัทต้องคืนให้ผู้ลงทุนเมื่อครบกำหนด” เช่น หุ้นกู้พาร์ 1,000 บาท หมายถึง บริษัทต้องคืน 1,000 บาทต่อหน่วยตอนครบกำหนด • อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) 👉 คือ “ต้นทุนดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้ผู้ถือหุ้นกู้” เช่น ดอกเบี้ย 5% ต่อปี หมายถึง บริษัทต้องจ่าย 50 บาทต่อปีต่อหุ้นกู้ 1 หน่วย • Par = เงินต้นที่ต้องชำระคืน • Coupon rate = ต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายระหว่างทาง
• ราคาพาร์ และ อัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) เป็นองค์ประกอบสำคัญของตราสารหนี้ที่กำหนด กระแสเงินสดรับ ที่ผู้ให้กู้จะได้รับ (ดอกเบี้ยและเงินต้น) และเป็น ภาระหนี้สิน ที่ผู้กู้จะต้องจ่ายคืน • อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Coupon Rate) เป็นการรับประกันการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละคงที่ตลอดอายุของตราสารหนี้ (เป็นประโยชน์ต่อผู้ให้กู้ที่ต้องการความแน่นอนของรายได้)
ความน่าเชื่อถือ
1. ราคาพาร์ (Par Value หรือ Face Value) คือ มูลค่าที่ตราไว้ของตราสารหนี้ต่อหน่วย (เช่น 1,000 บาทต่อหน่วย) เป็น จำนวนเงินที่บริษัทต้องชำระคืนให้ผู้ลงทุนเมื่อครบกำหนดอายุหุ้นกู้ 🔹 ในฐานะบริษัทผู้ออก ราคาพาร์คือ เงินต้นที่บริษัทกู้ยืมจากนักลงทุน ถ้าออกหุ้นกู้ 1,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท → บริษัทได้รับเงิน 1,000,000 บาท เมื่อครบกำหนด จะต้อง “คืนเงินต้น” 1,000,000 บาทเต็มให้ผู้ถือหุ้นกู้ 🔸 ดังนั้น ราคาพาร์ = ภาระหนี้เงินต้นของบริษัท --- 💰 2. อัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate) คือ อัตราผลตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายให้นักลงทุน ตามที่ระบุไว้ เช่น 4% ต่อปี คิดจากราคาพาร์ (ไม่ใช่ราคาตลาด) 🔹 ในฐานะบริษัทผู้ออก เป็น “ต้นทุนดอกเบี้ย” หรือ “ต้นทุนทางการเงิน” ที่บริษัทต้องจ่ายทุกปี เช่น หุ้นกู้พาร์ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 4% → ต้องจ่ายดอกเบี้ย 40 บาทต่อปีต่อหน่วย ถ้ามี 1,000 หน่วย → ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 40,000 บาท 🔸 ดังนั้น อัตราดอกเบี้ย = ต้นทุนการกู้ยืมเงินของบริษัท