ทำไมเราจึงตีความต่างกัน แม้อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน (Stages of Consciousness)

ในอดีตมนุษย์คนหนึ่งอาจลืมตาเกิดขึ้นมา ณ เมืองแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เติบโต ร่ำเรียน ใช้ชีวิต และตายจากไปโดยอาศัยอยู่ภายในเมืองเมืองเดียวนั่นแหละ แต่เมื่อการสื่อสาร การคมนาคมสะดวกขึ้น มนุษย์คนหนึ่งอาจซึมซับหลากหลายวัฒนธรรม มนุษย์คนหนึ่งสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าถึงข้อมูลความรู้ได้อย่างกว้างขวาง เกิดเป็นความหลากหลายภายในจิตใจ ทำให้เกิดโลกทัศน์ที่ต่างกัน และสิ่งนี้ ได้มีการอธิบายไว้ผ่านเรื่อง Stages of Consciousness 

ระดับของจิตสำนึก

ในระหว่างทำความเข้าใจเรื่องนี้ ผู้ศึกษาอาจเกิดความรู้สึกไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าโลกทัศน์แบบที่คุ้นเคยอยู่ใน Stage ระดับต้น ๆ และพอตีความว่าระดับต้น ๆ คือ ไม่ดี ก็อาจเกิดความรู้สึกไม่พอใจ จนอาจปิดใจเรียนรู้ ผมจึงขอเปลี่ยนจากคำว่า "ระดับ" เป็นคำว่า "ประตู" และการตระหนักรู้ในร่างกายและความรู้สึกไปด้วย มีความจำเป็นมาก ในระหว่างการทำความเข้าใจเรื่อง Stages of Consciousness

ต่อไปนี้ คือ บันทึกความเข้าใจเรื่อง Stages of Consciousness จากหนังสือ Integral Spirituality ของ Ken Wilber ซึ่งแบ่งเป็น 7 ระดับ ได้แก่ Archaic, Magic, Mythic, Rational, Pluralistic, Integral และ Super-integral โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

🌳ประตูที่ 1. Archaic (อยู่รอด)

โลกของฉัน คือ การอยู่รอด และ สัญชาตญาณ ร่างกายนี้คือฉัน ฉันหิว ฉันกลัว ความหิวความกลัวและตัวฉันเป็นเนื้อเดียวกัน ฉันแสดงพฤติกรรมออกไปตามสัญชาตญาณ แทบไม่มีร่องรอยใด ๆ ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณในโลกของฉัน แต่ฉันเอาตัวรอดได้ก็แล้วกัน

🌳ประตูที่ 2. Magic (ลี้ลับ)

โลกของฉัน เต็มไปด้วยพลังลี้ลับ ฉันต้องทำตัวให้ดี เพื่อที่จะปลอดภัยจากอำนาจลึกลับ จิตวิญญาณในโลกของฉันก็คือ เวทมนตร์, พิธีกรรม และชนเผ่า ฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่บางทีอาจจะถูกมองว่างมงาย หรือขาดเหตุผล

🌳ประตูที่ 3. Mythic (เคร่งครัด)

ฉันมองว่าความจริง คือ ศาสนา, คัมภีร์, หรือกฎจากพระเจ้า ฉันคือสมาชิกในชุมชนที่ฉันศรัทธา ฉันต้องมีศีลธรรม เชื่อฟังกฎทางศาสนา จิตวิญญาณสำหรับฉันก็คือ บุคคลที่ฉันศรัทธา และการรอดพ้นจากนรกไปอยู่ในพื้นที่ความสุขตลอดกาล ฉันมีความมั่นคงในใจ และมีคุณธรรม แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกขัดแย้งกับคนที่เห็นต่างกัน

🌳ประตูที่ 4. Rational (ชัดเจน)

ฉันมองโลกผ่านกลไก, วิทยาศาสตร์ หรือจะเรียกว่า กฎธรรมชาติก็ได้ มันดูครอบคลุมดี ฉันก็คือฉัน ไม่ใช่ใครอื่น และฉันเป็นคนมีเหตุผล ฉันต้องมีสิทธิตามกฎหมาย ได้รับความยุติธรรมที่เป็นสากล แน่นอนฉันไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องพระเจ้า หรือผู้วิเศษที่อยู่เหนือกว่าฉัน ฉันเชื่อก็ต่อเมื่อได้เห็น และพิสูจน์ได้แล้วเท่านั้น ฉันมีเสรีภาพ และส่งเสริมองค์ความรู้ที่ทันสมัย แต่ฉันมักจะมองคนที่ให้คุณค่าด้านจิตวิญญาณว่าเป็นพวกที่งมงาย

🌳ประตูที่ 5. Pluralistic (หลากหลาย)

ฉันมองว่าความจริงมีหลายมุมมอง ความจริงไม่ได้มีหนึ่งเดียว ฉันพอใจในการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ให้ความสำคัญกับ ความเสมอภาค ความยุติธรรม และการยอมรับความหลากหลาย ฉันเคารพความหลากหลาย และต้องการความยุติธรรมสังคม จิตวิญญาณสำหรับฉัน คือ การผสมผสานศาสตร์ที่รู้สึกว่าใช่ หรือศาสนานอกระบบที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม ฉันมีความเมตตา และให้การยอมรับผู้อื่น แต่ความจริงของฉันนั้นคลุมเครือ เปลี่ยนไปตามบริบท จึงดูเหมือนว่าขาดความชัดเจน

🌳ประตูที่ 6. Integral (เห็นคุณค่าทั้งหมด)

เห็นโลกเป็นระบบที่ซ้อนกัน และเห็นว่าทุก Stages ล้วนมีคุณค่า เห็นว่าตัวฉันเองเป็นผู้บูรณาการ สิ่งที่ดีงามสำหรับฉัน คือ การเปิดรับทุกมุมมอง จิตวิญญาณสำหรับฉัน คือ การบูรณาการทุก Stages และทุก States ในใจฉันไม่แบ่งเป็น 2 ฝ่าย (Nondual) ฉันมีความยืดหยุ่น และบูรณาการความต่างได้ เพียงแต่อาจดูเหมือนมีความซับซ้อน และไม่เห็นผลในเชิงรูปธรรม

🌳ประตูที่ 7. Super-Integral (เป็นหนึ่งกับจัรวาล)

เห็นถึงความมีชีวิตของจักรวาล และดำรงอยู่อย่างเป็นส่วนหนึ่ง ด้วยความรักที่เป็นสากล ด้วยการเห็นแจ้งที่ไร้การแบ่งเป็นสอง (Nondual realization) ในขั้นนี้ อาจเป็นเรื่องยากที่จะถ่ายทอดออกไปให้เข้าใจ

งานเขียนนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจผ่านข้างในจิตใจตนเอง ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ดังนั้นรายละเอียดที่เขียนไป เป็นความเข้าใจของผมในวันที่ 30 สิงหาคม 2568 นะครับ ณ ปัจจุบัน ผมอาจมีความเข้าใจแบบใหม่ไปแล้ว


🔥 การเดินทางด้านในจิตใจ และประเด็นขัดแย้งในสังคม (controversial issue)

หากเราเชื่อว่า การแปรเปลี่ยนจากด้านในจิตใจ คือ หนทางในการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งของสังคม เพื่อว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้ ท่ามกลางความหลากหลาย และเกิดคุณค่าความหมายต่อชีวิต

ต่อไปนี้ คือ มุมมองต่อประเด็นทางสังคม เมื่อเราดำรงอยู่ใน Stages of Consciousness ที่แตกต่างกัน ได้แก่ Archaic, Magic, Mythic, Rational, Pluralistic, Integral และ Super-integral ในขณะที่อ่านมุมมองของบาง stage เราอาจรู้สึกไม่พอใจ เพราะถูกกระทบอัตตาตัวตน จนเมื่ออ่านไปให้ถึงมุมมองแบบ Integral และ Super-Integral ก็เชื่อแน่ว่าเราจะโล่งใจมากขึ้น ความโล่งใจคือแสงไฟ ที่บอกเราว่า เรากำลังต้องการผู้คน ที่ใส่ใจในการเดินทางด้านใน เพื่อแปรเปลี่ยนสังคมจากมิติภายในตนเอง ไปสู่มุมมองใหม่ ผุดปรากฏจิตสำนึกแบบใหม่

🔍มุมมองต่อการสมรสเพศเท่าเทียม

Archaic “เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับการอยู่รอดหรอก ขอแค่มีข้าวกินพอ” มักไม่สนใจเรื่องเพศ/กฎหมายซับซ้อน

Magic “ผิดธรรมชาติ ผีบรรพบุรุษไม่ยอมรับ” มองผ่านความเชื่อเรื่องพลังลี้ลับ/วิญญาณ

Mythic “ศาสนาบอกว่าผิด, ครอบครัวต้องชาย-หญิงเท่านั้น” เน้นคัมภีร์ กฎเกณฑ์ ความถูก-ผิดแบบตายตัว

Rational “เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน กฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิทุกคน” ใช้เหตุผล กฎหมาย สิทธิมนุษยชน

Pluralistic “ทุกความรักมีค่า ความหลากหลายควรถูกเคารพ” เน้นใส่ใจ (empathy), ความเสมอภาค, การยอมรับทุกอัตลักษณ์

Integral “ทุก Stage มีเหตุผลของมัน เราควรหาวิธีสื่อสารให้ทุกฝ่ายเข้าใจและค่อย ๆ ข้ามพ้น” บูรณาการ มองเห็นคุณค่าของแต่ละระดับ

Super-Integral “ความรักคือการแสดงออกของจิตสากล ไม่มีเพศ ไม่มีการแบ่งแยก” มองความรักเป็นพลังจักรวาล ไม่แบ่งแยก (nondual love)

🔍มุมมองต่อแรงงานต่างชาติ

Archaic “เขามาแย่งงานเรา”

Magic “คนต่างชาติอาจนำเคราะห์ร้ายหรือสิ่งไม่ดีเข้ามา”

Mythic “บ้านนี้เมืองนี้มีกฎ คนต่างชาติต้องอยู่ใต้กฎหมายไทย อย่าได้เท่าเทียมกับพวกฉัน”

Rational “แรงงานข้ามชาติช่วยเศรษฐกิจไทย เราควรทำระบบที่ถูกกฎหมายและตรวจสอบได้”

Pluralistic “เขาก็คือมนุษย์เหมือนเรา ควรมีสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ไม่ถูกเอาเปรียบ”

Integral “แรงงานต่างชาติ คือ ส่วนหนึ่งของระบบโลก เราต้องออกแบบนโยบายที่ยุติธรรมทั้งในมิติของเศรษฐกิจและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

Super-Integral “ไม่มีเขา-เรา ทุกคนคือหนึ่งเดียวกันในจักรวาล การแบ่งสัญชาติเป็นเพียงมายา”


เส้นทางการเติบโตของจิตสำนึก

นอกจากนี้ Ken Wilber ผู้เขียนหนังสือ Integral Spirituality ยังได้สรุปย่อระดับจิตสำนึก ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • Egocentric
  • Ethnocentric
  • Worldcentric

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของชีวิตมนุษย์ ผมขอนำเสนอ โดยแบ่งออกเป็น 5 ช่วง ดังต่อไปนี้ครับ

🌏หนึ่ง) ตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric)

เด็กส่วนใหญ่เติบโตขึ้นมาพร้อมความเปราะบาง เมื่อถูกลงโทษจะร้องไห้ เจ็บจึงจดจำ เกิดการเรียนรู้ขึ้นผ่านความกลัวที่ซึมซับเข้ามาภายในจิตใจ ท่องอยู่ในจินตนาการเหมือนอยู่ในความจริง อยากได้ก็จะเอา ได้มากคือดี สะสมเพิ่มปริมาณของเล่น รีดไถ่ของเล่นจากเด็กที่อ่อนแอกว่า แลกเปลี่ยนต่างตอบแทน หรือจำยอม จิตสำนึกเช่นนี้ ทำให้เราหลีกหนีการถูกลงโทษ เกรงกลัวข้อเสนอแนะ และใช้อำนาจควบคุม ไขว่คว้าความสำเร็จส่วนตน แบบที่ไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นรอบตัว

🌏สอง) พวกตนเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentric)

เริ่มมองผ่านมุมคนอื่น รู้ว่าคนอื่นต้องการอะไร มีความต้องการเป็นคนที่ถูกรัก จึงทำเพื่อนาย ทำเพื่อหัวหน้า ยึดตัวบุคคล จะถูกจะผิดก็ทำตามหมด เป็นจิตสำนึกที่ก่อให้เกิดอาชญากรรมได้ง่าย เป็นไปตามกระแสธารที่ชักนำโดยผู้นำกลุ่ม หากดีก็ดีไป หากร้ายก็พากันร้ายหมด โดยเฉพาะเมื่อถูกเอาเปรียบจากกรอบสังคมบางอย่าง มักเลือกที่จะถอยร่นมายึดกฎหมู่แทนกฎหมาย แหกกฎได้เพื่อครอบครัว คนที่รัก กลุ่มพวกพ้องของตนเป็นสำคัญ มีคติประจำใจว่า "ถ้าไม่รักกันแล้ว จะให้ไปรักแมวที่ไหน"

🌏สาม) หลักการใหญ่เป็นศูนย์กลาง (Modernism)

เมื่อมีก๊กเหล่าต่าง ๆ มากมาย การจะให้ทุกกลุ่มอยู่ร่วมกันได้ จำเป็นต้องสร้างหลักการใหญ่เชิงประจักษ์ เพื่อครอบคลุมให้ทุกคนทำตาม หากมีความเห็นต่าง จะให้ทุกคนเคารพในกติกาของคนหมู่มาก หรือกลุ่มผู้นำตามระบอบที่ยึดถือ สังคมของมนุษย์ดำเนินไปได้ ผ่านการมีหลักใหญ่สำหรับทุกคน ถึงแม้บางครั้ง การยึดหลักใหญ่จะทำให้เราต้องห่างเหินจากการรับรู้ใน "ความรู้สึก" ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน บางคนจึงเลือกที่จะถอยร่น กลับไปยึดพวกตนเป็นศูนย์กลาง อีกทางเลือกหนึ่ง คือ การเปิดใจ ฝึกฝนตนเองให้สามารถเผชิญความหลากหลาย และนี่คือสิ่งที่ท้าทายความคุ้นชินและความกลัวลึก ๆ ในใจ

🌏สี่) โอบรับในความหลากหลาย (Emergence)

โลกในยุคสมัยปัจจุบัน มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เกิดความคลุมเครือทางความคิด ความเชื่อ สีผิว ชาติพันธุ์ เพศ ฯลฯ แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันบางส่วน และอาจต่างกันในบางส่วน ไม่อาจแบ่งฝักแบ่งฝ่ายได้อย่างชัดเจนแน่นอนเสมอไป และเป็นการยากมากที่จะขีดเส้นกั้น แบ่งแยกลักษณะจิตใจของมนุษย์ผ่านแผนที่ทางภูมิศาสตร์ หลักการใหญ่สำหรับทุกคนที่อาศัยในพื้นที่เดียวกัน กำลังทำให้คนส่วนหนึ่งในสังคมเป็นทุกข์ ปรากฏการณ์เช่นนี้ กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

จิตสำนึกในระดับนี้ ช่วยให้มนุษย์เคารพในหลักใหญ่ และใส่ใจในสิทธิพื้นฐานของทุกคน เปิดใจ เรียนรู้ผ่านเสียงเล็ก ๆ ให้ความสำคัญต่อการฟัง ยอมรับในความหลากหลาย โดยไม่รู้สึกว่าเหนือกว่า แม้อาจเห็นต่าง แต่สามารถรับรู้ความรู้สึกคนอื่นผ่านใจของตนเองได้ คำตอบสุดท้ายจึงไม่สามารถตระเตรียมไว้ล่วงหน้า และไม่สามารถมีคำตอบสุดท้ายเพียงคำตอบเดียว "การฟังอย่างลึกซึ้ง" และ รับรู้ด้วยใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ

🌏ห้า) เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน (Worldcentric)

เชื่อมโยงความสุขความทุกข์ถึงกัน สลายตัวตน ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า "หากเรามองอย่างลึกซึ้งเข้ามายังจิตใจ เราจะเห็นโลกได้อย่างลึกซึ้ง ในเวลาเดียวกัน (If we look deeply into our mind, we see the world deeply at the same time.)" ปรากฏการณ์ภายนอก ดึงดูดความสนใจของเรามาก เราอาจสนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกถูกหรือผิด แต่หากเราลองมองย้อนกลับมาที่ความรู้สึกของเรา การถกเถียงถูกผิดภายนอกจะเงียบลง ณ ช่วงขณะนั้น เราจะได้สัมผัสถึงใจของกันและกัน ความสุข ความทุกข์ภายในใจ ไม่มีการแบ่งตามเพศสภาพ ไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ และสิ่งนี้เป็นจริงเสมอ เมื่อเห็นรากแห่งทุกข์ ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวทั้งหลาย จะแปรเปลี่ยนเป็นความกรุณา

เมื่อเวลาผ่านไป แล้วได้ย้อนกลับมาทำความเข้าใจ เรื่อง Stages of Consciousness อีกครั้ง อาจจะเกิดความเข้าใจที่ลุ่มลึกขึ้น ส่วนที่แบ่งเป็น 5 ระดับนี้ ผมเขียนไว้ตามความเข้าใจ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2562 นะครับ

Run Wisdom Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 389 times