มุมมองของ Peter Senge ในเรื่อง SDG และ IDG

งานเขียนนี้ คือ บันทึกการเรียนรู้ส่วนหนึ่ง จากการเข้าร่วมเรียนรู้ในโปรแกรม IDG Ambassador และสิ่งที่ดึงดูดใจให้ผมสนใจเรียนรู้มาก ๆ ก็คือคำกล่าวจาก ปีเตอร์ เซ็งเก้ (Perter Senge) ที่พูดถึง SDG และ IDG
 
โครงการ Harvard Human Flourishing Program ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Inner Development Goals เพื่อเชิญวิทยากรหลายท่าน มาพูดคุยเกี่ยวกับความสำคัญของการเติบโตด้านในเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในช่วงท้าย Peter Senge ผู้บุกเบิก Systems Thinking, อาจารย์อาวุโสจาก MIT และที่ปรึกษา IDG ได้ให้มุมมอง ดังนี้
 
"SDGs นั้นน่ารักแต่ไร้ประโยชน์" (Lovely and useless): Senge เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า แม้ SDGs จะเป็นเป้าหมายที่สวยงามและเป็นเสมือนท่าทีที่ดีในการแสดงเจตนา แต่เราจะไม่มีทางสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงได้จากเป้าหมายเหล่านี้เพียงอย่างเดียว เขามองว่าโลกกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางตรงกันข้าม การตั้งเป้าหมายเพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นได้
 
ปัญหาที่แท้จริงคือ "ปัญหาเชิงวัฒนธรรม": เขาย้ำว่าปัญหาที่เราเผชิญไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็น ปัญหาเชิงวัฒนธรรม (cultural problems) ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเรา การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นนั้นเป็น "การเดินทางที่ลึกซึ้งในระดับบุคคล ระหว่างบุคคล และวัฒนธรรม" (a personal interpersonal cultural Journey) ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายและใช้เวลา
 
ภาวะโลกร้อนเป็นเพียง "อาการ": Senge เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็นเหมือน "อาการ" ของวิถีชีวิตที่ไม่ดี เช่นเดียวกับคนอายุ 50 ปี ที่ใช้ชีวิตอย่างไม่ถูกต้องแล้วเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง ซึ่งบังคับให้ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง นี่คือการเดินทางระยะยาวที่เราต้องใช้เวลายาวนานในการแก้ไข
 
ด้วยเหตุนี้ Senge จึงมองว่า IDGs คือ "ความพยายามที่จะปรับทิศทางของเราไปในแนวทางที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย" (a gesture and effort to try to orient us in a little different way)
 
IDGs มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงที่ต้นตอ ซึ่งก็คือการเดินทางด้านในของมนุษย์ ทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวม นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาและผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนสนใจและเข้าร่วมในโครงการนี้
 
เมื่อถูกถามถึงหนทางข้างหน้า Senge ได้เสนอแนวทางที่ชัดเจนว่าควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับสถาบัน
 
การให้ความสำคัญกับสถาบันหลัก: เขาเชื่อว่าการจะสร้างผลกระทบที่แท้จริงได้นั้น ต้องมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับสถาบันสำคัญ ๆ ของสังคม
 
1️⃣ ภาคธุรกิจ (Business): การมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
2️⃣ ภาครัฐ (Government): การทำงานร่วมกับภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งการมีตัวแทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ (Haley Crim) ในงานเสวนาเป็นเรื่องที่น่ายินดีและสำคัญมาก
3️⃣ การศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา (Primary and secondary education): Senge ให้ความสำคัญกับสถาบันการศึกษามากที่สุด
 
โดยกล่าวว่าเป็น "สถาบันการศึกษา คือ สถาบันที่ยากที่สุด แต่ก็สำคัญที่สุดอย่างเห็นได้ชัด" (the most difficult institution... the most obviously important)
 
เหตุผลที่การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด: เขามองว่าการศึกษาเป็นสถาบันเดียวที่มี "ขอบเขตเวลา 75 ปี" (a 75-year time horizon) และเป็นสถาบันที่ "หล่อหลอม" (formative) มนุษย์มากที่สุด
 
เขาย้ำว่ามนุษย์มีความต้องการที่จะเรียนรู้โดยธรรมชาติ และการสนับสนุนการเรียนรู้ในรูปแบบที่ถูกต้องตั้งแต่เยาว์วัยเป็นกุญแจสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคน และการศึกษาคือจุดคานงัดที่ทรงพลังที่สุด
 
โดยสรุป Peter Senge มองว่าการแก้ปัญหาระดับโลกอย่างยั่งยืนไม่ใช่การตั้งเป้าหมายภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการเดินทางเพื่อ "การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม" ที่เริ่มต้นจากด้านใน IDGs คือเครื่องมือที่ช่วยนำทางการเดินทางนี้ และหนทางข้างหน้าที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การผลักดันการเปลี่ยนแปลงนี้เข้าไปในสถาบันหลักของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากลึกและยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
 
นี่คือสรุปการเรียนรู้ ส่วนหนึ่งใน Pre-work Session 1
IDG Ambassador Programme - Monsoon Cohort
 
--- รัน ธีรัญญ์
Run Wisdom Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 111 times