เพราะอะไรเราจึงทำสิ่งที่ขัดแย้งกับเป้าหมาย (Immunity to Change)

งานเขียนนี้ คือ บันทึกการเรียนรู้และการใคร่ครวญของ ดร. ธีรัญญ์ ไพโรจน์อังสุธร ในการเข้าร่วมเรียนรู้ใน IDG Post-Summit Online Special กับ Dr. Robert Kegan ศาสตราจารย์จาก Harvard ผู้สร้างสรรค์ Immunity to Change (ITC) หรือกระบวนการ "ภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง"

เพราะอะไรเราจึงทำสิ่งที่ขัดแย้งกับเป้าหมายที่มีคุณค่าอย่างสูงในชีวิต 

Dr. Robert Keygan ได้อธิบายถึงเครื่องมือหลักของกระบวนการ โครงสร้างการทำงาน และแนวคิดเบื้องหลังที่สำคัญ ดังนี้

1. ภาพรวมและเครื่องมือหลัก

  • Immunity Map (แผนที่ภูมิคุ้มกัน): ITC ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Immunity Map ซึ่งเปรียบเหมือนการเอ็กซเรย์ทางจิตวิทยา (psychological equivalent of an X-ray) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมองเห็นระบบภายในที่ซ่อนอยู่ภายใต้พฤติกรรมที่แสดงออก แผนที่นี้ช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ที่เป็นระบบ
  • โครงสร้าง 4 คอลัมน์: แผนที่ภูมิคุ้มกันประกอบด้วย 4 คอลัมน์หลัก ได้แก่
    1. Commitment (พันธกิจ/เป้าหมายการปรับปรุงส่วนบุคคล)
    2. Doing/Not Doing (การกระทำ/ไม่กระทำ ที่ขัดแย้งกับเป้าหมาย)
    3. Hidden Commitments (พันธกิจที่ซ่อนเร้น)
    4. Big Assumptions (ข้อสมมติฐานใหญ่)

2. การดำเนินกระบวนการ ITC ตามคอลัมน์

คอลัมน์ที่ 1: เป้าหมายการปรับปรุง (Commitment / Improvement Goal)

  • ผู้เข้าร่วมต้องระบุ เป้าหมายการปรับปรุงส่วนบุคคลที่มีคุณค่าสูง (high value personal improvement goal) หรือ "สิ่งใหญ่สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด" ที่จะสร้างความแตกต่างต่อความสุขหรือประสิทธิภาพ
  • เป้าหมายนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จ แต่เป็นสิ่งที่ต้องการปรับปรุง
  • ควรเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญสูงมาก (ระดับ 4 เต็ม 5 หรือ 5 เต็ม 5) หากคะแนนต่ำ ควรพิจารณาเลือกเป้าหมายอื่นที่สำคัญกว่า
  • เป้าหมายที่เลือกควรเป็น ความท้าทายเชิงการปรับตัว (adaptive challenge) ซึ่งต้องอาศัยการเติบโตหรือการพัฒนาตนเองให้เป็น "เวอร์ชันที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น" ไม่ใช่แค่ความท้าทายทางเทคนิคที่แก้ได้ด้วยการเรียนรู้ทักษะใหม่

ตัวอย่าง ครั้งหนึ่ง ผมได้สัมผัสถึงความปลอดโปร่งโล่งใจแบบสุด ๆ เมื่อได้ไปพักผ่อนอยู่ที่ Queenstown, New Zealand เป็นเวลา 2 เดือน ก็เลยอยากจะตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่า ผมอยากจะปลอดโปร่งโล่งใจให้ได้เช่นนั้นบ้าง ในช่วงเวลาที่อยู่ในประเทศไทย

คอลัมน์ที่ 2: พฤติกรรมที่เป็นผลเสีย (Counterproductive Doing and Not Doing)

  • รายการพฤติกรรมในคอลัมน์นี้คือการกระทำหรือการละเลยที่จะกระทำที่ขัดแย้งต่อต้านเป้าหมาย ในคอลัมน์ 1
  • เป็นการระบุ "วิธีที่เราทำพลาด" เมื่อเทียบกับเป้าหมายการปรับปรุง (improvement goal)
  • การระบุพฤติกรรมนี้ต้องมีความซื่อสัตย์และละเอียด เพื่อให้ภาพรวมน่าสนใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นระบบทั้งหมด

ตัวอย่าง บางครั้งผมตั้งหน้าตั้งตารอคอย ช่วงเวลาที่จะได้ไปพักผ่อนยาว ๆ อยู่ต่างประเทศ ที่ห่างไกลจากบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย (ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับเป้าหมายในคอลัมน์ 1)

คอลัมน์ที่ 3: พันธกิจที่ซ่อนเร้น (Hidden Commitments)

  • พันธกิจเหล่านี้มักจะซ่อนอยู่ (blind side) และไม่รู้ตัว พันธกิจนี้ทำงานเพื่อปกป้องเรา
  • Worry Box: ก่อนจะระบุพันธกิจที่ซ่อนเร้น ผู้เข้าร่วมต้องกรอก กล่องความกังวล (Worry Box) หรือ กล่องสัญญาณเตือน (Alarm Box) วิธีการคือให้ย้อนกลับไปดูพฤติกรรมในคอลัมน์ 2 และจินตนาการว่าหากทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างตั้งใจ จะเกิดอารมณ์เชิงลบ ความเสี่ยง หรือ "สัตว์ประหลาด" (monsters) อะไรขึ้นบ้าง (เช่น กลัวคนจะคิดว่าไม่เก่งพอ กลัวการถูกกีดกัน)
  • การแปลงความกังวลเป็นพันธกิจที่ซ่อนเร้น: ความกังวลแต่ละอย่างจะนำไปสู่พันธกิจที่ซ่อนเร้น ซึ่งเป็นพันธกิจที่มุ่งมั่นที่จะ ป้องกันไม่ให้ สิ่งที่กังวลเกิดขึ้น พันธกิจเหล่านี้ไม่ใช่ความมุ่งมั่นในอนาคต แต่เป็นพันธกิจที่กำลังทำสำเร็จอยู่ในปัจจุบัน

ตัวอย่าง ในกล่องความกังวล (Worry Box) ผมรู้สึกกลัวหากปล่อยให้ตัวเองได้เป็นอิสระแบบที่ไม่ต้องแคร์สายตาของคนอื่น ความรู้สึกนี้นำไปสู่ พันธกิจที่ซ่อนเร้น (Hidden Commitments) คือ การควบคุมตัวเองให้มีท่าทีอยู่มีขอบเขตบางอย่าง ไม่สามารถปล่อยตัวเองให้เป็นตัวของตัวเองได้ทั้งหมด เวลาอยู่ในประเทศไทย (ความปลอดโปร่งโล่งใจแบบสุด ๆ เหมือนตอนพักผ่อนที่ต่างประเทศยาว ๆ จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เวลาผมอยู่ในประเทศไทย ตามที่ต้องการในคอลัมน์ 1)

คอลัมน์ที่ 4: ข้อสมมติฐานใหญ่ (Big Assumptions)

  • ข้อสมมติฐานใหญ่คือความเชื่อพื้นฐานที่ระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดให้ดำรงอยู่
  • ข้อสมมติฐานเหล่านี้มักจะทำให้ส่วนที่เป็นเหตุผลของเรารู้สึกอับอาย เพราะในทางปัญญาเราอาจรู้ว่ามันไม่จริง แต่ในทางอารมณ์เรายังคงตกอยู่ภายใต้การถูกควบคุมของมัน
  • ตราบใดที่ข้อสมมติฐานเหล่านี้ยังคงถูกมองว่าเป็นจริงโดยไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ (uncritically true) ระบบก็จะดำเนินต่อไป และทำให้เป้าหมายการปรับปรุง (คอลัมน์ 1) ไม่สามารถบรรลุได้

ตัวอย่าง ผมมีความเชื่อว่า ถ้าผมไม่ควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบบางอย่าง ผมอาจจะไม่ได้รับความเคารพนับถือและอาจส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิตได้ (ดังนั้น เมื่ออยู่ในประเทศไทย ผมจะรักษามาตรฐานบางอย่าง อาจผ่อนคลายได้ 80-90% แต่ไม่ใช่ 100% เหมือนตอนไปพักผ่อนยาว ๆ ที่ต่างประเทศ)

3. แนวคิดเบื้องหลังและหลักการเปลี่ยนแปลง

  • ระบบภูมิคุ้มกัน (The Immune System): การที่คอลัมน์ 1 และ คอลัมน์ 3 ดึงไปในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้เกิดภาวะสมดุล (equilibrium) หรือระบบที่เราเรียกว่า ระบบภูมิคุ้มกัน
  • ขั้วหลัก (The Grand Polarity): ITC เผยให้เห็นขั้วหลักของมนุษย์ระหว่างความปรารถนาที่จะ เติบโต (to grow) (แสดงออกใน คอลัมน์ 1) กับความปรารถนาที่จะ ไม่ตาย (to not die) หรือหลีกเลี่ยงความสูญเสียครั้งใหญ่ทางจิตวิทยา (แสดงออกใน คอลัมน์ 3) การปรับปรุงที่แข็งแกร่งต้องยอมรับทั้งสองความมุ่งมั่นนี้ (เขาอาจถูกก็ได้นะ ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินข้างใดข้างหนึ่ง ใจดีกับทุกส่วนของตัวเอง)
  • ภาษีของระบบ (The Tax): ระบบภูมิคุ้มกันนี้สร้างขึ้นอย่างชาญฉลาดเพื่อปกป้องเราจาก "สัตว์ประหลาด" (ความกลัวใน Worry Box) แต่มี "ภาษี" ที่ต้องจ่ายคือ การขาดความหวังที่จะสามารถบรรลุเป้าหมาย ในคอลัมน์ 1
  • ความล้มเหลวของการพยายามในการ "หยุดมัน" (The "Stop It" Trap): การพยายามอย่างหนักเพื่อหยุดพฤติกรรมที่เป็นผลเสียในคอลัมน์ 2 (เช่น การไดเอท) จะไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว วิธีการนี้เรียกว่า "diet approach" เพราะเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมชั่วคราว แต่ไม่ได้เปลี่ยนความคิดพื้นฐาน (underlying mindset) ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนั้น
  • การก้าวข้ามข้อจำกัดของระบบ: เมื่อมองเห็นระบบแล้ว ผู้เข้าร่วมสามารถเริ่มปีนขึ้นจากจุดต่ำสุดของเส้นโค้ง (U-Curve) โดยการตั้งคำถามว่าระบบการป้องกันตนเองในปัจจุบันเป็นระบบสุดท้าย (คำตอบสุดท้าย) ที่สร้างขึ้นหรือไม่ หรือสามารถสร้าง ระบบที่ยืดหยุ่นกว่า (roomier system) ที่ยังคงดูแลตัวเองได้ดีพอ แต่เปิดโอกาสให้ก้าวไปข้างหน้าได้
  • การทดสอบข้อสมมติฐาน (The Solution): วิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงคือการหันไปที่คอลัมน์ 4 และดำเนินการสำรวจข้อสมมติฐานอย่างนอบน้อม (humble exploration) โดยการออกแบบ การทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปลอดภัย (modest, safe experiments) เพื่อให้โลกมีโอกาสแสดงให้เห็นว่าข้อสมมติฐานเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงข้อสมมติฐานเพียงเล็กน้อยหรือแม้แต่ข้อเดียวก็สามารถ "เปิด" ระบบทั้งหมดได้

ตัวอย่าง ถึงขั้นนี้ ผมได้ย้อนกลับไปพบว่า การที่ผมเคยเป็นผู้รักษาศีลอย่างเคร่งครัด การเคยถูกจำกัดสิทธิพื้นฐานบางอย่าง หรือการเคยได้รับการยกย่องในบางเรื่องมาก ๆ สิ่งเหล่านี้อาจรวม ๆ กัน กลายมาเป็นความเชื่อที่จำกัดตนเอง ทำให้อิสระในการเลือกใช้ชีวิตของผมเริ่มแคบกว่าที่เป็นจริง

ดังนั้น ผมจึงได้ออกแบบการทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อจะตรวจสอบสมมติฐานหรือความเชื่อที่ว่า "ถ้าผมไม่ควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบบางอย่าง ผมอาจจะไม่ได้รับความเคารพนับถือและอาจส่งผลต่อหน้าที่การงานได้" ความเชื่อนี้จริงหรือ? ผมขออนุญาตไม่เขียนรายละเอียดการทดลองในที่นี้ (จะแบ่งปันในวงเล็ก ๆ ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยเท่านั้น)

สุดท้าย การทดลองนี้ อาจทำให้ผมเห็นว่า สิ่งที่ผมเชื่อ อาจเป็นแค่โลกในจินตนาการของผมเองเท่านั้น การคลี่คลายจากส่วนลึกในใจอาจเกิดขึ้น ซึ่งจะเกื้อกูลการบรรลุในเป้าหมาย ในคอลัมน์ 1

4. การประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น ๆ

  • นำไปใช้กับกลุ่มย่อย: ผู้เข้าร่วมจะทำงานร่วมกันในกลุ่มย่อย (small group) เพื่อแบ่งปันและทำความเข้าใจแผนที่ (Immunity Map) ของกันและกัน โดยผู้ฟังควรใช้สนใจใคร่รู้ และเป็นเพื่อนร่วมทาง ไม่ใช่การให้คำแนะนำหรือพยายามแก้ไขปัญหา (not your job to fix your colleagues)
  • นำไปใช้ในระดับทีม (Collective ITC): ITC สามารถนำไปใช้กับทีมได้สองวิธี
    1. ให้แต่ละคนกำหนดเป้าหมายการปรับปรุงส่วนบุคคลที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายร่วมกันของทีม (collective team goal)
    2. สร้างแผนที่ภูมิคุ้มกันเดียวสำหรับทีมโดยรวม โดยมองว่าทีมมี "จิตใจเดียว" และระบุเป้าหมายร่วมกัน พฤติกรรมที่เป็นผลเสียร่วมกัน ความกังวลร่วมกัน พันธกิจที่ซ่อนเร้นร่วมกัน และข้อสมมติฐานที่จำกัดร่วมกัน

วันนี้ ได้เห็นตัวเองอีกด้านที่ซ่อนอยู่ ได้เห็นความเชื่อที่คุ้มกันระบบภายในชีวิตเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง โดยผ่านกระบวนการ Immunity to Change

ขอบคุณอาจารย์ Robert Keygan ที่ถ่ายทอดวิชาที่มีคุณภาพสูง และต้องขอบคุณเทคโนโลยีออนไลน์ด้วย ที่เปิดพื้นที่ให้สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้จากต้นตำรับ ทำให้การเรียนรู้ในยุคสมัยนี้ ก้าวกระโดดไปมากจริง ๆ ครับ ถึงแม้จะเคยผ่านกระบวนการ Immunity to Change มาบ้างแล้ว และเคยนำกระบวนการมาแล้วหลายครั้ง แต่การได้เรียนกับผู้สร้าง Immunity to Change มันมีความหมายจริง ๆ

Run Wisdom Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 168 times