บันทึกประสบการณ์ Shambhala Retreat

จากการหลงลืม แยกตัว มองหาทางแก้ไข สู่การตระหนักรู้ เชื่อมโยง และแสงสว่าง

🌳ช่วงต้นปี (ม.ค. - มี.ค. 68) ผมได้สัมผัสถึงความสุขที่มีชีวิตชีวา ในการคลุกคลีกับชุมชน Migrant Worker ที่เมือง Queenstown ประเทศ New Zealand พวกเขามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเลือกชีวิต จนสัมผัสได้ถึงความเป็นอิสระจากความกลัวในตัวพวกเขา ผมรู้สึกได้ว่า การตื่นรู้ในชีวิต ไม่ได้ถูกจำกัดในขอบเขตของการเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มันสามารถปรากฏได้ในทุกพื้นที่ บางส่วนในพื้นที่ของผู้ปฏิบัติธรรม และบางส่วนในพื้นที่ของคนธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำ ไปจนถึงผู้ที่ไม่ได้ยึดถือศาสนาใด ๆ เลย หลังการค้นพบนี้ ผมพบว่าตัวเองมีความเขินอาย และไม่ยอมรับ เมื่อถูกยกย่องให้เป็นบุคคลต้นแบบแห่งความดี ผมมีท่าทีซ่อนตัว ปฏิเสธ หลีกหนี และต่อต้าน 

🔔พอกลับมาเมืองไทย จึงคิดว่าจำเป็นต้องตกผลึกประสบการณ์ทั้งหมดที่พบเจอมาอย่างไม่บิดเบือน ความรู้สึกเช่นนี้ ดึงดูดให้ผมสนใจวิถี "วัชรยาน" และได้สมัครเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน Shabhala Retreat

ตลอด 5 วัน แบ่งการเรียนรู้เป็น 4 ช่วง

  • ช่วงนี้ 1 เวลา 6.30 น. - อาหารเช้า และพัก
  • ช่วงที่ 2 ประมาณ 9 โมง - อาหารเที่ยง และพัก
  • ช่วงที่ 3 ประมาณบ่าย 2 - อาหารเย็น และพัก
  • ช่วงที่ 4 ประมาณ 1 ทุ่ม - 3 ทุ่มครึ่ง และนอน

ต่อไปนี้ เป็นเพียงบันทึกส่วนหนึ่งในการเรียนรู้

🌞 Day 1: 19 ก.ค. 68

พี่ณัฐ (ณัฐฬส วังวิญญู) พูดถึงการมองไปที่ธรรมชาติรอบตัว ในขณะที่ธรรมชาติรอบตัวก็มองเราอยู่เช่นกัน เราไม่ได้โดดเดี่ยว และธรรมชาติกำลัง Remind เจตจำนงของเรา นี่คือคำกล่าวสั้น ๆ ที่ผมคิดว่ามีความสำคัญต่อการต้อนรับพวกเรา ที่เดินทางมาจากคนละทิศคนละทาง เพื่อมาดำรงอยู่ร่วมกันในวันแรก

อ.ตั้ม (วิจักขณ์ พานิช) ได้พูดถึงพระพุทธศาสนาในแบบเถรวาท, มหายานโดยทั่วไป, และวัชรยาน (วัชรยาน คือ มหายานเช่นกัน) ที่ร้อยเรียงกันในการเดินทาง ได้แก่ การแยกแยะถูกผิด ดีชั่ว ฝึกปฏิบัติไม่ให้มีอัตตา การสัมผัสความว่าง การไม่ตัดสิน การตระหนักรู้ทั้งความสุขและความทุกข์บนพื้นฐานของสภาวะแห่งความว่าง การมีความกรุณาต่อสรรพชีวิต การเกิดปัญญาจากประสบการณ์เฉพาะตัว การมี Mission เฉพาะตัว การก้าวพ้นจากแบบแผนหรือชุดภาษา เพื่อการเป็นนักรบ Shambhala ที่เชื่อมโยงได้กับทุกคน นี่เป็นการเกริ่นนำในเบื้องต้น ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเข้าที่เข้าทาง เบิกบานใจ และพร้อมเรียนรู้ต่อไป

เราได้ผ่านกระบวนการ ที่ค่อย ๆ ทำความรู้จัก และหลอมรวมกับ Space ตระหนักรู้ถึง Basic Goodness ชื่นชมความดีงามพื้นฐานในทุกสรรพสิ่ง เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้ผ่านร่างกาย และความคลุมเครือ

ในช่วงค่ำของวันแรก เรา Dialogue กัน พี่ณัฐแนะนำ Dialogue และ David Bohm บทสนทนาเริ่มต้นด้วยการเหนี่ยวนำจากคำถามของสมาชิกในวง เกี่ยวกับความมั่นคงและไม่มั่นคง และผมเองก็ได้เล่าประสบการณ์ของตนเอง ในช่วงท้ายก่อนปิดวง เกี่ยวกับการขีดเส้นแบ่งแยกในสังคม จนนำไปสู่ความไม่มั่นคงในชีวิต เป็นเรื่องราวที่ยังคงเล่าได้ในบางพื้นที่เท่านั้น เฉพาะเมื่อรู้สึกปลอดภัยเพียงพอ ผมตั้งใจเล่าออกไป เพื่อให้เราได้รู้จักกันแบบลึก ๆ และบ่มเพาะพื้นที่ปลอดภัยร่วมกัน การดำดิ่งสู่ความจริงใหม่ อุปมาเหมือนคำกล่าวที่พี่ณัฐยกมาว่า "เราหรี่ไฟลง เพื่อให้ได้เห็นกันมากขึ้น"

สิ่งที่ผมประทับใจมาก ๆ ก็คือ เสียงระฆังในช่วงเริ่มและจบ Session พร้อมท่าทางที่ช่วยให้เรายกสภาวะ (Uplift) ความมั่นใจ ความแข็งแกร่ง และความอ่อนน้อมได้รวมเข้าด้วยกัน 

🌞 Day 2: 20 ก.ค. 68

เราภาวนากับเส้นขอบฟ้า และ The Great Eastern Sun การรอคอยอย่างมั่นคง ดำรงอยู่เต็มเปี่ยม และมีความหวัง เป็นอิสระจากความจริงในพื้นผิว ก้าวพ้นจากการตัดสิน ดำรงอยู่ในความไม่รู้ สัมผัสความคลุมเครือ และความจริงที่ลึกลงไป ผ่านความจริง 3 ระดับ ได้แก่ (1) Consensus Reality คือ โลกแห่งความเห็นพ้องที่เราถูกสอนให้เชื่อว่าเป็นความจริง เป็นชีวิตที่เราแสดงตามบทบาท (2) Dreamland คือ โลกภายในจิตใจที่เต็มไปด้วยความฝัน ความกลัว ความหวัง และเรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟัง เป็นชีวิตที่เรารู้สึกและจินตนาการ (3) Essence คือ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้กาลเวลา ความคิด หรือสถานการณ์จะเปลี่ยนไป เป็นสิ่งที่เราเป็น โดยไม่ต้องพยายามเป็น 

เราผ่านกระบวนการ Felt Sense ที่คลุมเครือ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบใด ๆ สิ่งที่ปรากฏในใจผม คือ ฉากตอนในชีวิต 3-4 ฉาก มีความรู้สึกหนักที่ไหล่ เห็นฉากตอนความยากจนของผู้คน มีความรู้สึกต่อต้าน แปลกแยก และเห็นภาพความสุขที่เรียบง่ายของผู้คน แต่ละฉากตอน มันไม่ได้ปะติดปะต่อกันในทีแรก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมเริ่มเห็นว่า มันเป็นเรื่องเดียวกัน ทีแรกดูเหมือนจะคือภาพปัญหาและภาพทางออก จนเมื่อเสียงระฆังสุดท้ายของ Session จบลง ผมรู้สึกหลอมรวมเป็นหนึ่งกับ Space และเกิดการตระหนักรู้ถึงความทุกข์ในทุกขั้ว ที่ผมเคยแบ่งแยก เมื่อขั้วต่าง ๆ สลายไป คำถามจึงกลายเป็นว่า จะช่วยทั้งหมดได้อย่างไร

การบ่มเพาะตลอดสองวัน ทำให้ผมกลับสู่ Being ของตนเอง ที่เชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง กลายเป็นคำตอบของคำถามต่าง ๆ ก่อนที่จะเดินทางมาร่วมงาน ผมรู้สึกมีพลัง มีความเข้าใจ และคิดว่าพร้อมใช้ชีวิต จากนี้ไป คือ การเรียนรู้เพื่อต่อยอดเส้นทางแห่งนักรบ Shambhala 

🌞 Day 3: 21 ก.ค. 68

เราเรียนรู้และค่อย ๆ สัมผัสรังดักแด้ (Cocoon) ของตนเอง ซึ่งคือแบบแผนความคุ้นชินที่เกิดจากความกลัว เราแปรเปลี่ยนการใช้การนึกคิดนำทาง สู่การใช้ร่างกายนำทาง (Embodiment) เราไม่กดทับ หรือยอมแพ้ (Give up) แต่เรายอมรับอย่างศิโรราบ (Give in) ในความเศร้า (Heart of Sadness) เราตระหนักรู้ว่าการบิดเบือนความเศร้า คือการปกป้องความกลัว แต่การยอมรับความเศร้า คือการเป็นอิสระจากความกลัว 

จากสภาวะ Cocoon เราค่อย ๆ แปรเปลี่ยนสู่สภาวะใหม่ (Uplift, Shift) เราไม่จำเป็นต้องพยายามตระหนักรู้ การตระหนักรู้มีอยู่ใน Space อยู่แล้ว เราค่อย ๆ หลอมรวม สภาวะใหม่และยอมรับสภาวะใน Cocoon (Integrate) ปรากฏสภาวะที่มีประโยชน์ต่อทั้งหมด 

จากความเขินอาย ปฏิเสธ และอึดอัดต่อคำชม เมื่อผมผ่านกระบวนการ ผมได้เชื่อมโยงตัวเองกับธรรมชาติรอบตัว ผมสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มที่ เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับคำชื่นชมได้ง่ายขึ้น ทุกอย่างถูกโอบรับด้วย Space ที่กว้างใหญ่ สภาวะ Cocoon ของผมไหลเวียนผ่านลมหายใจเข้าออกที่โล่งสบาย และนี่ก็คือสภาวะใหม่ที่ยกระดับและหลอมรวม

🌞 Day 4: 22 ก.ค. 68

วันนี้ เราภาวนากับเส้นขอบฟ้า The Great Eastern Sun และ Wind Horse รวมถึงผ่านกระบวนการเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ร่วมกระบวนการเรียนรู้ ปลุกเราตื่นขึ้นในความเศร้า ที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจ ขอบคุณสถานที่และธรรมชาติรอบตัว ที่เป็นเหตุปัจจัยสำคัญให้เราไว้วางใจ และเรียนรู้ได้แบบทิ้งตัว 

ในขณะที่ผมได้เชื่อมโยงกับทั้งหมดในชีวิต และได้ตัดสินใจในภาระกิจหนึ่งเดียว ผมเกิดความสั่นไหวในร่างกายและน้ำตาผมก็ได้ไหลคลอออกมา ผมเปล่งเสียงออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ และรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้น ไม่ใช่เสียงของผมเพียงลำพัง ผมเลือกที่จะทะลายการหลับใหล และการแบ่งแยกที่ยังคงมีอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจตนเอง ผมพบว่า เมื่อเราเป็นทั้งหมด เราจะทำเพื่อทั้งหมดได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่กระมัง ที่ทำให้งานครั้งนี้ มีชื่อว่า "Shambhala Retreat: Natural Awareness"

🌞Day 5: 23 ก.ค. 68 

วันนี้ เราภาวนาทงเลน (Tonglen) และได้ร่วมกันกล่าวปฏิญาณตน เชื่อมโยงตนเองกับการเป็น นักรบเสือ, นักรบสิงโตหิมะ, นักรบครุฑ, หรือนักรบมังกร และต่อไปนี้คือคำปฏิญาณตนของผม...

"ข้าคือนักรบมังกร จิตเป็นหนึ่งกับสรรพชีวิต เชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง ดำรงอยู่ด้วยสายตาแห่งการเป็นดั่งกันและกัน ขอมอบปัญญาแห่งความไม่แบ่งแยก (Wisdom of Nondiscrimination) ให้กับโลก"

ผมรู้สึกขอบคุณประเทศไทย นอกจาก อ.ประชา หุตานุวัตร และ อาใหญ่ (วิศิษฐ์ วังวิญญู) ประเทศไทยยังมีพี่ณัฐ (ณัฐฬส วังวิญญู) และ อ.ตั้ม (วิจักขณ์ พานิช) อยากให้ผู้คนที่สนใจได้รู้ว่า บุคคลที่เราสามารถเรียนรู้ในเส้นทางที่จริงและดิบ (Real and Raw) ยังมีอยู่เสมอ 

"เราอาจเคยเดินทางเพียงลำพัง

แต่แท้จริงแล้วไม่เคยโดดเดี่ยว"

--- รัน ธีรัญญ์

 

●○●○●○●○●○●○●○●○●○●○●○●

SHAMBHALA RETREAT

: natural awareness

●○●○●○●○●○●○●○●○●○●○●○●

5-day intensive warriors’ gathering

กับ ณัฐฬส วังวิญญู และ วิจักขณ์ พานิช 

วันที่ 19-23 กรกฎาคม 2568

ณ อาศรมวงศ์สนิท จ.นครนายก

Run Wisdom Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 479 times