ที่ชีวิตเราหนักอึ้งในตอนนี้ อาจเป็นเพราะ เราลืมให้อภัยในอดีต
การให้อภัย (Forgiveness) คือ ทักษะหนึ่งในมิติ Relating ของแนวทางการพัฒนาด้านใน (Inner Development Guide) หมายถึง ความเต็มใจที่จะก้าวข้ามความเป็นศัตรู ฟื้นฟูบาดแผล และสร้างพื้นที่เพื่อการเยียวยา (Willingness to transcend hostility, work through trauma, and create space for healing.)
เรื่องราวหนึ่งที่ยืนยันถึงความสำคัญของการให้อภัย มาจากการที่ Rev. Dr. James M. Wuye ผู้นำคริสเตียนไนจีเรีย ที่ครั้งหนึ่งเป็นศัตรูรุนแรงของชาวมุสลิมในสงครามศาสนา เขาสูญเสียเพื่อนฝูง พี่น้องจากความขัดแย้ง แต่ต่อมาเลือก “หันหน้าเข้าหา” ศัตรูเก่า และร่วมสร้าง Interfaith Mediation Centre ในขณะเดียวกัน Imam Dr. Muhammad Ashafa ผู้นำมุสลิมไนจีเรีย ที่เดิมเคยเป็นคู่ขัดแย้งกับ Rev. James และเขาก็สูญเสียคนรัก คนใกล้ชิดจากความรุนแรง แต่ในที่สุดทั้งคู่ เลือกการให้อภัย (Forgiveness) และกลายเป็นเพื่อนร่วมสร้างสันติภาพข้ามศาสนา
อีกเรื่องราวสำคัญ ที่เมื่อได้รับรู้แล้ว จะไม่ใช่แค่เห็นความสำคัญของการให้อภัย แต่จะเปลี่ยนโลกด้านในของเรา ต่อการมองผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อในสงคราม และทำให้เราเกิดความหมายใหม่ ของการให้อภัย
เรื่องราวนี้ คือ เรื่องจริงของ Kim Phuc เด็กผู้หญิงที่ถูกไฟครอกในสงครามเวียดนาม (ภาพโด่งดังระดับโลก) ผ่านความเจ็บปวดทางกายและใจยาวนาน สุดท้ายเลือก ให้อภัย ทหารที่ก่อเหตุ เปลี่ยนความทุกข์เป็นพลังเพื่อสันติภาพ ความเจ็บปวดที่เธอได้รับ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นการให้อภัยโดยทันที แต่มีกระบวนการที่จริงแท้ภายใน ที่เราสามารถเรียนรู้จากเรื่องราวของเธอ ต่อไปนี้ คือ เรื่องราวของ Kim Phuc ที่เธอได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้อย่างตรงไปตรงมา หลังผ่านเหตุการณ์มา 50 ปี
ฉันเติบโตขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อจางบาง ในเวียดนามใต้ แม่ของฉันบอกว่าฉันหัวเราะบ่อยในวัยเด็ก เรามีชีวิตที่เรียบง่ายและมีอาหารมากพอสมควร เพราะครอบครัวของฉันมีฟาร์ม และแม่ของฉันเปิดร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมือง ฉันจำได้ว่ารักการไปโรงเรียนและชอบเล่นกับลูกพี่ลูกน้องและเด็กอื่นๆ ในหมู่บ้านของเรา กระโดดเชือก วิ่งเล่น และวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน
ทุกอย่างเปลี่ยนไปในวันที่ 8 มิถุนายน 1972 ฉันจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นภาพแว้บๆ ฉันกำลังเล่นกับลูกพี่ลูกน้องในลานวัด อยู่ๆ ก็มีเครื่องบินบินต่ำผ่านพร้อมเสียงดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงระเบิด ควันไฟ และความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก ตอนนั้นฉันอายุ 9 ขวบ
นาปาล์มจะติดผิวไม่ว่าคุณจะวิ่งเร็วแค่ไหน ก่อให้เกิดแผลไหม้ร้ายแรงและเจ็บปวดยาวนาน ตัวฉันเอง จำไม่ได้ว่าตัวเองวิ่งและร้องออกมาว่า "Nóng quá, nóng quá!" ("ร้อนมาก ร้อนมาก!") แต่ภาพยนตร์และการถ่ายทอดจากความทรงจำของคนอื่นบอกว่า เห็นฉันทำอย่างนั้นจริงๆ
คุณอาจเคยเห็นภาพถ่ายของฉันในวันนั้น ที่วิ่งหนีระเบิดพร้อมกับคนอื่นๆ — เด็กเปลือยกายที่ยื่นแขนออกและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ถ่ายโดยช่างภาพเวียดนามใต้ นิค อู๊ต ผู้ทำงานกับสำนักข่าวเอพี ภาพนั้นปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วโลกและได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ภายหลังกลายเป็นหนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดจากสงครามเวียดนาม
นิคเปลี่ยนชีวิตฉันตลอดไปด้วยภาพถ่ายนั้น แต่เขาก็เป็นคนช่วยชีวิตฉันด้วย หลังจากถ่ายภาพ เขาวางกล้องลง ห่มผ้าห่มให้ฉัน และพาฉันไปรักษาทันที ฉันรู้สึกขอบคุณเขาเสมอและตลอดไป
แต่ฉันก็เคยเกลียดเขาในบางครั้ง ฉันเติบโตมากับความเกลียดภาพถ่ายนั้น ฉันคิดกับตัวเองว่า "ฉันเป็นเด็กผู้หญิง ยังเปลือย ทำไมเขาถึงถ่ายภาพนั้น? ทำไมพ่อแม่ฉันไม่ปกป้องฉัน? ทำไมเขาต้องพิมพ์ภาพนั้น? ทำไมมีแค่ฉันคนเดียวที่เปลือย น้องชายและลูกพี่ลูกน้องในภาพมีเสื้อผ้าทั้งหมด?" ฉันรู้สึกไม่มีค่าและอับอาย
เมื่อโตขึ้น บางครั้งฉันก็อยากหายไป ไม่ใช่แค่เพราะบาดแผลแผลไหม้ที่กระจายถึงหนึ่งในสามของร่างกายและก่อให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรัง แต่เพราะความอับอายและความละอายของสภาพร่างกายที่เสียโฉม ฉันพยายามซ่อนรอยแผลไว้ใต้เสื้อผ้า และมีความวิตกกังวลและซึมเศร้าอย่างรุนแรง เด็กในโรงเรียนก็หลีกเลี่ยงฉัน ฉันถูกมองในฐานะคนที่น่าสงสารโดยเพื่อนบ้านและบางครั้งแม้กระทั่งพ่อแม่ ฉันกลัวว่าไม่มีใครรักฉันเมื่อโตขึ้น
ในขณะเดียวกัน ภาพถ่ายก็ยิ่งโด่งดังมากขึ้น ทำให้ชีวิตส่วนตัวและการดูแลทางอารมณ์ของฉันยากขึ้น ในช่วงทศวรรษ 1980 ฉันถูกสัมภาษณ์กับสื่อและพบกับกษัตริย์ นายกรัฐมนตรี และผู้นำคนอื่นๆ หลายครั้ง ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะได้เห็นความหมายบางอย่างจากภาพนั้นและประสบการณ์ของฉัน เด็กผู้หญิงที่วิ่งหนีบนถนนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายในสงคราม ส่วนตัวจริงของฉันนั้นอยู่ในเงามืด หวาดกลัวว่าจะถูกเปิดเผยว่าเป็นคนที่ได้รับความเสียหาย
ภาพถ่ายเป็นเพียงการจับช่วงเวลาหนึ่งในอดีต แต่ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในภาพเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กๆ ต้องดำเนินชีวิตต่อไป เราไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ เราเป็นมนุษย์ เราต้องหางาน มีคนให้รัก มีชุมชนให้โอบกอด มีสถานที่ให้เรียนรู้และเติบโต
เมื่อเป็นผู้ใหญ่ หลังจากหนีภัยไปแคนาดา ฉันเริ่มพบความสงบและมีเจตจำนงในชีวิต ด้วยความศรัทธาในตัวเอง และด้วยความช่วยเหลือจากสามี และเพื่อน ๆ ฉันก่อตั้งมูลนิธิและเดินทางไปประเทศที่มีสงคราม เพื่อให้การช่วยเหลือทางการแพทย์และเยียวยาจิตใจให้แก่เด็ก ๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ฉันหวังว่านี่คือการมอบโอกาส (ความรู้สึกถึงความเป็นไปได้) ให้กับพวกเขา
ฉันรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร เมื่อหมู่บ้านของคุณถูกทิ้งระเบิด และบ้านของคุณถูกทำลาย การเห็นสมาชิกในครอบครัวตาย และศพของผู้บริสุทธิ์ที่นอนอยู่บนถนน มันคือความโหดร้ายของสงครามเวียดนามที่มีภาพถ่ายและข่าวสารมากมาย แต่ที่น่าเศร้า ภาพถ่ายแบบนี้ ยังมีอยู่ในสถานที่ต่างๆ รวมถึงสงครามที่ยูเครนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีความโหดร้ายในรูปแบบอื่น ๆ เราอาจไม่ได้เห็นภาพอย่างสงคราม แต่ความรุนแรงเหล่านั้นก็เป็นสงคราม เราอาจซ่อนภาพเอาไว้ได้ แต่เราควรเผชิญหน้ารับรู้ความจริง
ฉันได้แบกรับผลลัพธ์ของสงครามไว้บนร่างกายของฉันเอง รอยแผลเป็นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเลือนหายไปได้ ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ฉันรู้สึกขอบคุณในวันนี้ ที่ภาพถ่ายของฉันตอนอายุ 9 ขวบมีพลังมากมาย เช่นเดียวกับการเดินทางที่ฉันได้ก้าวผ่าน ในฐานะมนุษย์ ความสยองขวัญที่ฉันแทบจำไม่ได้ ได้กลายเป็นเรื่องสากล และฉันภูมิใจที่ในที่สุดฉันได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ มันใช้เวลานานมากกว่าฉันจะยอมรับสิ่งนั้นในฐานะบุคคลได้ และวันนี้ หลังจาก 50 ปี ฉันสามารถพูดได้อย่างเต็มใจว่า ฉันยินดีที่ Nick ได้บันทึกภาพนั้นไว้
ภาพนั้นจะเป็นเครื่องเตือนใจถึงความชั่วร้ายที่มนุษยชาติสามารถทำได้ แต่ฉันเชื่อว่าสันติภาพ ความรัก ความหวัง และการให้อภัยจะมีพลังเหนืออาวุธทุกชนิดเสมอ
ล่าสุดในงาน Ashland Vietnam Era Veterans Recognition Dinner (งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อยกย่องทหารผ่านศึกยุคสงครามเวียดนามแห่งแอชแลนด์) เมื่อวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2025 Kim Phuc ได้มากล่าวสุนทรพจน์ เธอเปิดใจพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับ ประสบการณ์ทางอารมณ์ของเธอในฐานะเหยื่อสงคราม ที่เคยสูญเสียความหวังและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ซึ่งการเดินทางสู่การเยียวยาของเธอเกิดขึ้นเมื่อเธอพบศรัทธาในศาสนาคริสต์ ทำให้เธอสามารถปล่อยวางความทุกข์ทรมานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และเรียนรู้ที่จะ ให้อภัยผู้ที่ก่อเหตุ เธอชี้ให้เห็นว่าการพูดคุยกับกลุ่มทหารผ่านศึกนั้นมีความพิเศษ เพราะพวกเขาทุกคนต่าง "ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในเวียดนาม" เธอกล่าวว่าเธอสามารถใช้ชีวิตของเธอเพื่อมุ่งเน้นไปที่การให้ความหวังแก่เด็ก ๆ ในปัจจุบันที่กำลังทุกข์ทรมานจากสงครามแบบเดียวกับเธอ โดยเธอได้ย้ำถึงความสำคัญของการก้าวไปข้างหน้าเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เธอกล่าวว่า... "จากส่วนลึกของหัวใจของฉันได้บอกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่ด้วยความรัก เราจะสามารถเยียวยาอนาคตได้"
จากเรื่องราวเหล่านี้ ผมพบว่า การให้อภัยไม่ใช่การหลีกหนีความเจ็บปวด แต่คือการยอมรับความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง เห็นถึงพลังที่รุนแรงในการตอบสนอง จนเกิดความเข้าใจใหม่ และแปรเปลี่ยนพลังนั้น ให้กลายเป็นพลังแห่งการเยียวยา โดยไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำ การให้อภัยจึงไม่ใช่การลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นการเลือกที่จะไม่ให้ความเกลียดชังควบคุมอนาคตของเรา
ดังที่หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวไว้ว่า...
ที่ชีวิตเราหนักอึ้งในตอนนี้ อาจเป็นเพราะ เราลืมให้อภัยในอดีต
และการให้อภัยแรกที่สามารถเกิดขึ้นได้ ก็คือ การให้อภัยตัวเองครับ